นั่งรถไฟในเม็กซิโกเหมือนนั่งดูโชว์ตลอดเส้นทาง มันคือการแสดงสดของพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพที่งัดวิธีการนำเสนอการขายออกมาด้วยรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน แต่คุณสมบัติที่ทุกคนดูจะเหมือนกันคือเสียงดังฟังชัด ลีลาแพรวพราว ไม่กลัวและไม่แคร์สายตาคน เสื้อผ้าหน้าผมคิดมาแล้ว เจนจัดเรื่องแผนที่ประตูทางเข้าทางออกรถไฟ ส่วนของที่ขายก็คล้ายจะเป็นจรรยาบรรณหรือน่าจะมีการตกลงกันมาแล้ว อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะเป็นสินค้าต่างประเภทกันออกไป แล้วแต่กึ๋นในการครีเอท โดยทุกสถานี เมื่อรถไฟจอดปุ๊บ แม่ค้าหรือพ่อค้าที่เพิ่งปิดการขายจะเดินออกไปทางประตูด้านท้ายโบกี้ และมีพ่อค้าหรือแม่ค้ารายใหม่เดินเข้ามาทางหัวโบกี้เพื่อเปิดการขาย หมุนเวียนเข้าออกกันแบบนี้ตลอดสาย นอกจากโชว์เหล่านี้แล้ว สถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่งในเม็กซิโกยังใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามากกับการจัดกิจกรรมเพื่อส่วนรวมโดยเฉพาะการจัดแสดงงานศิลปะ ทั้งบางสถานีเองก็เป็นที่ตั้งของแกลเลอรี่ด้วย ตัวอย่างเช่นสถานีรถไฟใต้ดิน zapata ที่มีแกลเลอรี่ Museo De Metro ตั้งอยู่ คือถึงไม่ได้ตั้งใจออกจากบ้านเพื่อมาแวะดูงานศิลปะ แต่ในช่วงเวลาต้องรอใครสักคนซึ่งนัดเจอกันที่สถานี ก็สามารถใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่แกลเลอรี่ได้
หนึ่งความตั้งใจของการมาเม็กซิโกคราวนี้ของฉันคือการตามหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ Beatriz Vazquez Gomez ซึ่งหลังจากพบข้อมูลโดยบังเอิญว่าเธอมีใบหน้าที่เหมือนกับฟรีดา คาห์โลมาก แต่พอพยายามค้นข้อมูลเพิ่มก็เจอแต่ภาษาสเปน ส่วนข้อมูลภาษาอังกฤษที่หาได้ก็เขียนเรื่องราวของเธอไว้น้อยนิดเพียงไม่กี่บรรทัด จนเมื่อมีโอกาสได้ไปเม็กซิโกและตั้งใจอยู่แล้วว่าจะนั่งรถบัสออกไปค้างคืนที่เมือง Oaxaca (วาฮากา) ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของงานคราฟต์จากฝีมือชนเผ่า ก็เลยนั่งรถตู้สาธารณะต่อไปอีกประมาณ 35 กิโลเมตรเพื่อเที่ยวตลาด Ocotlan ในเมือง Oaxaca และนั่งรถเครื่องที่มีคนขับเป็นผู้หญิงซึ่งเท่มากต่อไปอีก เพื่อตามหาผู้หญิงคนนี้ โดยเท่าที่รู้มาคือเธอมีธุรกิจร้านอาหารอยู่ในตลาด จนเมื่อถึงส่วนของตลาดสดใน Ocotlan ฉันพยายามเดินตามหาเธอ ซึ่งแม้คนท้องถิ่นที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยและฉันก็พูดภาษาสเปนไม่ได้เช่นกัน แต่พอหันถามลุงขายผักคนหนึ่งด้วยคำๆ เดียวว่า “ฟรีดา”? ลุงชี้ทางให้ฉันเดินเข้าไปที่ตลาดในร่มทันที จนเมื่อเจอร้านอาหารร้านนึงซึ่งตกแต่งด้วยสีสันโดดเด่นกว่าเพื่อนเท่านั้นล่ะ ฉันมั่นใจว่าใช่แน่ รวมทั้งป้ายร้านก็มีภาพวาดฟรีดาประกอบไว้อยู่ด้วย ส่วนผู้หญิงที่ติดดอกไม้ไว้บนศีรษะคนนั้น ใช่เลย! ฉันพุ่งตัวเข้าไปหาเธอซึ่งกำลังยืนคุยกับลูกค้าอยู่
“ฟรีดา” ฉันแผดเสียงลั่นเข้าไปกอดเธอ ผู้หญิงคนนั้นหันมากอดฉันกลับ เธอไม่มีอาการตกใจอะไรทั้งสิ้น แต่คนที่ตกใจดูจะเป็นคนในตลาดมากกว่า
ร้านอาหารของ Beatriz เปิดมานานแล้วกว่าแปดสิบปี เป็นกิจการที่เธอรับช่วงต่อมาจากแม่ของเธอซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว สมัยเด็กๆ พ่อของ Beatriz ชอบให้ดอกไม้กับเธอ ซึ่งเธอก็มักจะชอบเอามาติดผมหรือตกแต่งตามข้าวของเครื่องใช้ จนพอโตมาในช่วงอายุ 18 เธอเริ่มมาช่วยงานพ่อแม่เต็มตัวที่ร้านอาหาร และเป็นช่วงเดียวกับที่เธอเริ่มเป็นสาวสวย สนใจการแต่งตัวในแบบ traditional ของชนเผ่าเม็กซิกัน ทุกวันเวลามาทำงานที่ร้าน ใครต่อใครก็มักจะชอบทักเธอว่าหน้าเหมือนฟรีดา นักท่องเที่ยวเองก็ขอถ่ายรูปคู่กับเธออยู่บ่อยๆ โดยที่ในตอนนั้น Beatriz ไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำว่าฟรีดาคือใคร จนผ่านไปห้าปี ก็มีคนเอาบทความเกี่ยวกับศิลปินหญิงชาวเม็กซิกันมาให้เธออ่าน ซึ่งความที่เธอมีหน้าตาซึ่งคล้ายกับฟรีดาอยู่แล้ว พอได้อ่านเรื่องของฟรีดาซึ่งเป็นผู้หญิงแกร่งและมีความซับซ้อนในการใช้ชีวิตเพิ่ม เลยทำให้ Beatriz ยิ่งเกิดความศรัทธาในผู้หญิงที่ชื่อฟรีดา คาห์โล
“ฉันรู้สึกเป็นเกียรตินะที่เรามีความคล้ายกับผู้หญิงใจเด็ดอย่างฟรีดา ฉันเคยฝันถึงฟรีดาเมื่อเก้าปีก่อนด้วยนะ ภาพในฝันมันลางๆ จำได้แต่ว่าเธอมาหาฉันกับผืนผ้าสีขาว”
ถึงตรงนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่าว่ามันก็แปลกดีเหมือนกันที่ผู้หญิงสองคนนี้มีความสัมพันธ์กับตัวเลขสิบแปดเหมือนกัน
อายุ 18 … Beatriz เริ่มชอบแต่งตัวแบบชนเผ่า
อายุ 18 … ฟรีดาประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่จนต้องออกแบบและเลือกใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับตัวเอง
“ฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับฟรีดาสองเรื่องคือการแต่งตัวกับเรื่องของความรัก แต่ก่อนฉันก็ผ่านความเจ็บปวดมาก่อน แต่ทุกวันนี้ฉันมีความสุขดี” Beatriz บอกแบบนั้น
นอกจากแวะมาตามหา Beatriz ซึ่งฉันเรียกเธอติดปากไปแล้วว่าคุณป้าฟรีดา ฉันยังได้ลองอาหารในแบบวาฮากาดั้งเดิมที่ร้านของเธอด้วย ซึ่งเมื่อพูดอาหารพื้นถิ่นวาฮากาแล้วก็ต้องโมเล่ (mole) ซอสที่ผสมด้วยช็อคโกแลตและเครื่องเทศ ซึ่งถ้าเปรียบแล้ว โมเล่ก็เหมือนน้ำพริกบ้านเรานั่นล่ะ มีหลายสูตรและหลายระดับดีกรีความเผ็ด ปกติเขาจะกินคู่กับแผ่นแป้งตอติญ่า (tortillas) ซึ่งร้านของ Beatriz มีซอสโมเล่ให้เลือกสามชนิด ฉันเลือกน่องไก่ใน black mole ซอสสีดำเผ็ดระดับกลาง ซึ่งเวลากิน ทางร้านจะเสิร์ฟถั่วดำแยกมาให้เราอีกจาน ความน่ารักบ้านๆ ของร้านนี้คือเขามีแค่หนึ่งโต๊ะอาหารขนาดยาวตั้งเอาไว้ตรงกลาง ซึ่งลูกค้าจะต้องมานั่งกินรวมกัน มันคือโอกาสของการเรียนรู้ในวัฒนธรรมเม็กซิกันผ่านการใช้เวลาร่วมกันบนโต๊ะอาหารที่ดีมาก และคนที่ช่วยแปลคำพูดของ Beatriz จากภาษาสเปนเป็นภาษาอังกฤษให้ฉัน ก็เป็นคนที่ฉันเพิ่งมารู้จักกันบนโต๊ะอาหารนี่ล่ะ โชคดีมากที่เจอเพราะปกติคนที่นี่ไม่มีใครเขาพูดภาษาอังกฤษกัน
ปัจจุบัน Beatriz อายุ 53 ปี ความน่าสนใจในบุคลิกของเธอคือเมื่อไหร่ที่ฉันยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเธอ เธอจะจิกตาสู้กล้องมาก แต่การสู้กล้องไม่ได้แปลว่าบ้ากล้อง เพราะด้วยท่าทีของเธอ มันคือการให้ความร่วมมือ ให้เกียรติกับแขกต่างบ้านต่างเมืองอย่างฉันที่อุตส่าห์มาตามหาเธอถึงที่นี่ และเมื่อเธอคลายยางรัดผมบนศีรษะออก เราจะพบว่าปลายผมของเธอมีความยาวจรดพื้นเลยทีเดียว ซึ่ง Beatriz ชอบของเธอแบบนั้น และเธอก็ไม่ค่อยจะหวีผมเท่าไหร่ด้วยเพราะกลัวว่าทรงผมของตัวเองจะคลาย ปัจจุบัน Beatriz มีลูกชายหนึ่งคนและหลานสาวหนึ่งคน แม้หลานสาวของเธอจะไม่ได้ชื่อฟรีดา แต่สำหรับลูกชายของเธอแล้วเธอตั้งชื่อว่าดิเอโก ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับดิเอโก ริเวียรา ศิลปินชาวเม็กซิกัน สามีของฟรีดา คาห์โล
365 love ♥ note
: La Cocina De Frida – Market stall at Ocotlan de Morelos (35 กิโลเมตรจากเมือง Oaxaca)